แปลเพลง J. Cole - Snow On Tha Bluff



เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต เมื่อแรปเปอร์สาว Noname ได้ออกมาโพสต์ข้อความใน Twitter ประมาณว่า ศิลปินบางคนเพิกเฉย และไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อต้าน "กลุ่มตำรวจที่ฆ่าคนผิวสี" ตั้งแต่ช่วงเหตุการณ์ที่จอร์จ ฟลอยด์ ถูกตำรวจใช้เข่ากดคอของเขา จนเสียชีวิตในอีก 8 นาทีให้หลัง -- J Cole หนึ่งในแรปเปอร์ที่มีชื่อเสียงด้านกระบอกเสียงของสังคม จึงฉุกคิดขึ้นมาว่า น่าจะหมายถึงเขาแน่ๆ (ทั้งๆที่จริงแล้วในวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 -- J.Cole ก็ออกไปประท้วงกับเขาด้วยเหมือนกัน) เขาจึงทำเพลงนี้ขึ้นมา เพื่อโต้ตอบ Noname

J Cole เปรียบเทียบตัวเองเป็นคนขายยาที่ชื่อ Snow Curtis จากหนังแนวอาชญากรรมกึ่งสารคดีเรื่อง Snow On Tha Bluff กับการที่ตัวเองพูดเหมือนรู้ทุกอย่าง แต่พอเข้าใจตัวเองลึกลงไปแล้ว กลับพบว่าตัวเขาเองนั้นไม่ได้รู้อะไรเลย (เหมือนกับหนังเรื่อง Snow On Tha Bluff ที่ถ่ายทำออกมาเหมือนเป็นเหตุการณ์จริง แต่พอตำรวจเอาไปเช็คแล้ว กลับเป็นเพียงแค่เรื่องแต่งเท่านั้น) และด้วยความที่คิดว่า ตัวเองยังไม่ดีพอที่ จึงต้องการให้แฟนเพลงที่ศรัทธาในตัวเขา ให้มองเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาก็พอ


เนื้อเพลงเป็นการตอบโต้กลายๆว่า ประมาณว่าแทนที่ Noname จะทำตัวสูงส่งเหมือนกับว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง เอาแต่โพสต์โจมตีคนอื่น เอาเวลาไปเตือนสติคนดีกว่ามั้ย อธิบายและชี้นำกันด้วยเหตุผลดีกว่ามั้ย

สรุปแล้ว ก็คิดว่าต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลเป็นของตัวเอง ซึ่งจะว่าไปแล้ว มันก็คงไม่มีผิดไม่มีถูก ในแง่ของความคิดเห็นที่แตกต่าง เพราะต่างฝ่ายต่างก็หวังดี แต่ถ้ามองไปที่สาระหลักๆ เราก็จะเห็นว่า ผู้คนสมัยนี้นั้น ต่างเพิกเฉยกับความเหลื่อมล้ำใน "สิ่งที่แตกต่าง" ทั้งสีผิวและเพศสภาพจนเป็นเรื่องธรรมดา ทำให้การเหยียดนั้นเกิดขึ้นแบบไม่จบไม่สิ้น จนถึงขั้นฆ่ากันเลยก็มี แบบกรณีเดียวกับจอร์จ ฟลอยด์ ที่ทำให้ผู้คนส่วนมาก เริ่มที่จะตระหนักถึงการใช้ความรุนแรงใน "พื้นฐานของความเหลื่อมล้ำ" มากขึ้นนั่นเอง

ภาคผนวก (Appendix)


- But damn, why I feel faker than Snow on tha Bluff?
Snow On Tha Bluff เป็นหนังอาชญากรรมกึ่งสารคดี ว่าด้วยคนขายยาในชุมชน Bluff เขตแอตแลนต้าคนหนึ่ง ที่ชื่อ Snow Curtis (ซึ่งมีตัวตนอยู่จริงๆ และแสดงโดยตัวเขาเอง) ได้ปล้นกล้องวิดีโอจากนักศึกษาสามคน ที่จะมาขอซื้อยา จากนั้น เขาจึงให้เพื่อนถ่ายทำชีวิตประจำวันของตัวเอง ระหว่างทาง Snow ได้ไปปล้นยาเสพติดจากแก๊งฝั่งตรงข้าม ทำให้ถูกคู่อริพาพวกตามมายิงประกบ โชคดีที่ Snow ถูกยิงไม่โดนจุดสำคัญ แต่สุดท้ายเขาก็ถูกตำรวจจับข้อหาขโมยกล้องวิดีโอถึง 4 เดือน

หลังออกจากคุก Snow ต้องการที่จะแก้แค้น โดยเล็งเป้าหมายไว้ที่แฟนของแก๊งคู่อริ แต่โชคร้ายที่แก๊งคู่อรินั้น ตามมาฆ่าแฟนและแม่ของ Snow ตัดหน้าซะก่อน นั่นจึงทำให้ Snow ต้องเผชิญความยากลำบากกับการสูญเสีย เพราะเหลือแค่ลูกชายเพียงคนเดียว ในขณะที่ลูกชายมองเขาแพ็คยา Snow ก็บอกกับลูกว่า เมื่อก่อนเขาก็เคยมองลุงตัวเองแพ็คยาแบบนี้เหมือนกัน


อยู่มาวันหนึ่งขณะที่แก๊งของ Snow ขับรถ ก็ถูกล้อมด้วยรถแก๊งคู่อริ แก๊งของ Snow จึงยิงสวนกลับ และไล่ล่ารถของคู่อริ โชคร้ายที่ตำรวจผ่านมาเห็น ก็เลยจับทั้งแก๊งเข้าคุก หลังจากที่ Snow กลับมาบ้าน เขาพังข้าวของในบ้านอย่างหัวเสีย และนั่งดูดกัญชาแบบปลงๆ ในขณะที่มองลูกชายตัวเอง กำลังเล่นกับซากปรักหักพังในบ้านหนังจบด้วยการที่ Snow เอาคลิปวิดีโอที่ถ่ายไว้ มาสร้างเป็นหนังจริงๆ (อ่านงงตรงไหนบอกด้วยแจ้ จะได้เขียนให้เข้าใจขึ้น)

[Verse]
Niggas be thinkin' I'm deep, intelligent, fooled by my college degree
My IQ is average, there's a young lady out there, she way smarter than me
I scrolled through her timeline in these wild times, and I started to read
She mad at these crackers, she mad at these capitalists, mad at these murder police
She mad at my niggas, she mad at our ignorance, she wear her heart on her sleeve
She mad at the celebrities, lowkey I be thinkin' she talkin' 'bout me
Now I ain't no dummy to think I'm above criticism
So when I see something that's valid, I listen
But shit, it's something about the queen tone that's botherin' me
botherin' me
With parents that know 'bout the struggle for liberation and in turn they provide her with
A perspective and awareness of the system and unfairness that afflicts 'em
And the clearest understandin' of what we gotta do to get free
And the frustration that fills her words seems to come from the fact that most people don't see
Just 'cause you woke and I'm not, that shit ain't no reason to talk like you better than me
How you gon' lead, when you attackin' the very same niggas that really do need the shit that you sayin'?
Instead of conveyin' you holier, come help us get up to speed
Shit, it's a reason it took like two hundred years for our ancestors just to get freed
These shackles be lockin' the mental way more than the physical
I look at freedom like trees, can't grow a forest like overnight
Hit the ghetto and slowly start plantin' your seeds
Fuck is the point of you preaching your message to those that already believe what you believe?
I'm on some "Fuck a retweet," most people is sheep
You got all the answers but how you gon' reach?
If I could make one more suggestion respectfully
I would say it's more effective to treat people like children
Understandin' the time and love and patience that's needed to grow
This change is inevitable, but ain't none of us seen this before
Therefore, we just gotta learn everything as we go
I struggle with thoughts on the daily
Feel like a slave that somehow done saved enough coins to buy his way up outta slavery
Thinkin' just maybe, in my pursuit to make life so much better for me and my babies
I done betrayed the very same people that look at me like I'm some kind of a hero
Because of the zeros that's next to the commas
But look here, I promise I'm not who you think
Ran into this nigga outside of the store yesterday
He said something that had me like, "Wait"
He was like, "Cole, 'preciate what you been doin', my nigga, that's real"
But damn, why I feel faker than Snow on tha Bluff?
Well, maybe 'cause deep down I know I ain't doin' enough

 
หลายคนคงจะคิดว่า "ฉันฉลาดและลึกซึ้ง" แต่แกน่ะ โดนใบเกรดฉันหลอกแล้วล่ะ
ไอคิวฉันก็เหมือนกับคนทั่วๆไปนั่นแหละ เธอคนนั้นต่างหาก ที่ฉลาดกว่าฉันซะอีก
ฉันเคยไปส่องทวิตเตอร์ของเธอ แล้วจากนั้น ฉันก็เริ่มอ่านข้อความ
เธอโพสต์ประมาณว่า เธอโกรธพวกผิวขาว พวกนายทุน แล้วก็ฆาตกรในคราบตำรวจ
เธอโกรธคนผิวสี ที่เพิกเฉยเรื่องคนขาวฆ่าคนดำ เธอแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา
เธอโกรธพวกคนดังด้วย แอบคิดเหมือนกันว่า เธอน่าจะเหมารวมถึงฉันด้วยแน่ๆ
โอเค ฉันจะไม่นิ่งเฉย เพื่อที่จะคิดว่าตัวเอง "อยู่เหนือนักวิจารณ์" อีกต่อไปแล้ว
ถ้าเกิดสิ่งที่เขียน มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ฉันก็จะรับฟัง
แต่นี่มันเชี่ยอะไรวะเนี่ย เธอพูดหยั่งกะตัวเองเป็นราชินีเลยนะ เห็นแล้วมันน่าหงุดหงิดจริงๆ
น่าหงุดหงิดสุดๆ
พ่อแม่คนผิวสีอย่างเรานั้น รู้ดีเรื่อง "การต่อสู้เพื่ออิสรภาพ" อยู่แล้ว พวกเขาถึงได้สอนเรา
ให้ตระหนักถึงระบบสังคมและความไม่เป็นธรรม ที่ส่งผลต่อพวกเขา
พวกเราถึงได้เข้าใจแจ่มแจ้งเลยว่า สิ่งที่จะต้องทำก็คือ "การไขว่คว้าอิสรภาพ"
แต่ดูเหมือนว่า คำพูดที่ชวนสับสนของเธอ จะมาพร้อมกับความจริงที่ทุกคนไม่อยากเห็น
นั่นเป็นเพราะทุกคนตาสว่างแล้ว แต่ฉันกลับไม่รู้อะไรเลย บ้าจริง!!!
ดังนั้น มันไม่มีเหตุผลเลย ที่เธอจะต้องมาอวดคนอื่นว่า "ตัวเองนั้นดีกว่า"
แล้วเธอจะชี้นำคนได้ยังไง ถ้าเธอยังมัวแต่พูดโจมตีคนดำแบบนี้
แทนที่จะสื่อว่าตัวเองสูงส่ง เธอควรจะเอาเวลาไปเตือนสติคนอื่นๆดีกว่ามั้ย
และนี่แหละคือเหตุผลที่ว่า ทำไมคนดำถึงใช้เวลาตั้ง 200 ปี กว่าจะได้เป็นอิสระ
แต่กุญแจมือเหล่านั้น มันได้กักขังหน่วงเหนี่ยวจิตใจ มากกว่าสภาพทางกายของเราไปแล้ว
อิสรภาพ มันก็เหมือนกับป่าไม้ มันไม่สามารถเติบโตได้ภายในคืนเดียว
ดังนั้น เราจึงควรมองหาชนกลุ่มน้อย แล้วค่อยๆช่วยเหลือพวกเขาดีกว่า
แล้วมีจุดประสงค์อะไร เธอถึงได้ยัดเยียด "สิ่งที่ตัวเองเชื่อ" ให้คนอื่นแบบนี้
เห็นข้อความของเธอแล้ว ไม่อยากจะแชร์จริงๆ เดี๋ยวคนก็เอาไปเชื่อกันพอดี
เธอพูดเหมือนตัวเอง มีคำตอบสำหรับทุกอย่าง แล้วตัวเธอเองทำได้มั้ยล่ะ?
ถ้าฉันจะต้องแนะนำใครซักคน แบบให้เกียรติ
มันก็คงจะดีกว่า ถ้าแนะนำให้ใครซักคน สอนเด็กๆ
ให้เข้าใจว่าความรักและความอดทน มันต้องใช้เวลา
แม้การเปลี่ยนแปลง จะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่คนดำกลับไม่เคยเห็นมัน
ดังนั้น เราจึงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
ในแต่ละวัน ฉันรู้สึกยากลำบากกับความคิดตัวเอง
รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นทาส ถึงได้พยายามเก็บเงิน เพื่อที่จะหนีไปจากชีวิตแบบนี้
ฉันก็แค่อยากให้ชีวิตฉันและลูกๆ ดีขึ้นเท่านั้นเอง
ฉันรู้สึกเหมือนตัวเอง กำลังทรยศแฟนเพลงที่มองฉันเป็นฮีโร่
เพียงเพราะอยากได้เงิน เงิน แล้วก็เงิน
แต่ฉันสัญญาเลย ว่าฉันจะไม่เป็นคนแบบนั้นแน่
เมื่อวาน มีแฟนเพลงออกไปจากร้าน เพื่อวิ่งตามฉัน
สิ่งที่เขาพูด ทำให้ฉันต้องอุทาน "เดี๋ยวก่อนนะ"
เพราะเขาคนนั้นชื่นชมในสิ่งที่ฉันทำ และมองฉันเป็นของจริง
แต่ให้ตายเถอะ!!! ทำไมฉันถึงรู้สึกดูปลอมซะยิ่งกว่าหนังเรื่อง Snow on tha Bluff ซะอีกนะ
หรือบางทีลึกๆแล้ว ฉันก็อาจจะรู้ตัวอยู่แล้วว่า ฉันเองยังทำได้ไม่ดีพอ

[Bridge]
The sun is shinin' today
The sun is shinin' today
The sun is shinin' today


วันนี้ดวงอาทิตย์ ก็ยังคงส่องประกาย x3

[Outro]
Can you walk with me?
I hope we'll find the reason why we often sob, go on, cry
Painful memories fuck up the vibe
Though I be tryin' to let the time heal my mind
I was once a child, I've gotten older
Still, I know I'm just a boy in God's eyes
Fill me up with wisdom and some courage
Plus endurance to survive, help mine thrive


เธอจะเดินไปกับฉันมั้ยล่ะ
หวังว่าพวกเราจะหาเหตุผลเจอซักทีว่า ทำไมพวกเราถึงต้องร้องไห้
เพราะความทรงจำแย่ๆเหล่านั้น มันเป็นตัวทำลายบรรยากาศ
ถึงแม้ว่าเราจะปล่อยให้เวลา มันฟื้นฟูจิตใจอยู่ก็ตาม
ครั้งหนึ่งฉันเคยเป็นเด็ก แต่ตอนนี้กลับแก่ขึ้น
ถึงจะหยั่งงั้นก็เถอะ ในมุมมองของพระเจ้า ฉันก็ยังคงเป็นแค่เด็กอยู่ดี
ท่านใส่ปัญญาและความกล้าหาญเข้าไปในตัวเรา
พร้อมกับความอดทนเพื่อการอยู่รอด เพื่อให้เราได้โตเป็นผู้ใหญ่ในท้ายที่สุด
----------------------------------------------------------------------

  พื้นที่โฆษณา

แปรงฟันก่อนนอนกันด้วยนะจ๊ะเด็กๆ แฮ่!!!
----------------------------------------------------------------------------------------------------------

แปลเพลงแร็ปโพริ่งบอย เปิดเพจบน Facebook แล้วจ้า!!!


เนื่องจาก google+ จะปิดตัวในวันที่ 4 เมษายน 2562 (แต่ blogspot ยังอยู่นะ) เราจึงตัดสินใจวาร์ปไป Facebook แทน ใครใคร่สนใจ กดเข้าไปได้เลย ยี้ฮ้า!!!!

https://www.facebook.com/แปลเพลงแร็ปโพริ่งบอย-Rap-Hip-hop-Translate-281180945892591

เอ้อ!!! เพจเราเน้นแปลเพลงเท่านั้นนะ ดังนั้นใครสนใจเพจข่าวฮิปฮอป ดราม่าแร็ปเปอร์ ยังมีเพจเจ๋งๆอีกมาก ที่เขียนได้แน่นกว่าที่นี่ซะอีก เราก็เลยแนะนำให้ไปตามอ่านจากเพจอื่นๆดีกว่า เพราะผมก็ไปตามอ่านพวกเพจนั้นบ่อยๆเหมือนกัน แค่นี้แหละ รักคนอ่าน จุ๊บๆ จาก โพริ่งบอยสุดหล่อ

ความคิดเห็น

Sponsor Ads

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แปลเพลง Lil Mosey - Blueberry Faygo

แปลเพลง XXXTentacion - Moonlight

แปลเพลง Future - Life is Good (Feat. Drake)